วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เกมส์ฝึกสมอง ฝึกความความคิดเก๋ๆๆ

มาฝึกสมองกันด้วยเกมส์แจ๋วๆ



                     เกมส์นี้เป็นเกมฝึกสมองความคิดของเรา เรื่องการคิดหาตัวเลข การคำนวณการบวก ลบ คูณ หาร ถ้าใครต้องการที่จะให้ตัวเองมีความคิดที่ฉลาดและรวดเร็วก็ควรมามาฝึกสมองกับเกมส์นี้เลยค่ะ
ถ้าอยากรู้สนุกขนาดไหนต้อง  คลิก


วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดอกกล้วยไม้

            เนื่องจากกล้วยไม้มีจำนวนมากมายหลายชนิด หากจะแยกกล้วยไม้ตามลักษณะที่อยู่อาศัยที่พบได้ตามธรรมชาติของกล้วยไม้ (ไม่ใช่เราเอามาปลูกในบ้านนะจ๊ะ) จะสามารถจำแนกได้สองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ กล้วยไม้ดิน และ กล้วยไม้อากาศ
1. กล้วยไม้ดิน Terrestrials เป็นกล้วยไม้ที่พบอยู่ตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยอินทรียวัตถุ (เช่น ซากใบไม้ใบหญ้า กิ่งไม้ หิน) ส่วนมากจะเป็นพวกที่มีหัวอยู่ใต้ดินและเป็นพวกที่มีการพักตัวในฤดูแล้ง เช่น พวกนางอั้ว ลิ้นมังกร ท้าวคูลู ซึ่งอยู่ในสกุล Habenaria , Pecteilis เป็นต้น กล้วยไม้จำพวกนี้ต้องงดน้ำในฤดูแล้งนะครับ ถ้ารดจะเน่า เดี๋ยวจะหาว่ามดเอ็กซ์ไม่เตือน หุหุ
มีอีกชนิดหนึ่งก็คือพวกรากกึ่งดิน พวกนี้ส่วนใหญ่จะพบตามซอกหินที่มีใบไม้ผุหล่นเน่าเปื่อยอยู่ กล้วยไม้จำพวกนี้ก็คือ ‘รองเท้านารี’ นั่นเอง ซึ่งมีราคาแพงมากในบางชนิดที่ผสมพันธุ์มาแล้วได้ฟอร์มสวย ๆ ราคาหลักล้านบาทก็เคยมีมาแล้ว 5 5 5 อยากมีสักต้นจะเอาไปขาย
2. กล้วยไม้อากาศ Epiphytic เป็นกล้วยไม้ที่มีรากเกาะกับกล้วยไม้อื่น แต่เค้าไม่ได้แย่งอาหารจากต้นไม้นะจ๊ะ ไม่ต้องตกกะใจไป เค้าแค่ต้องการที่พึ่งทางใจยึดเกาะต้นไม้ไว้เท่านั้น แฮะ ๆ บางอย่างอยู่ตามซอกหินก็มี เช่น พวกม้าวิ่ง แดงอุบล กล้วยไม้ในสกุลอากาศนี้เป็นสกุลที่มีแพร่หลายมากในตลาดกล้วยไม้ เช่น พวกหวาย แคทลียา (แยกเป็นพวกกึ่งอากาศก็ว่าได้) , แวนด้า ฟาแลนนอปซิส (พวกรากอากาศ) ส่วนการแบ่งกล้วยไม้รากอาการ แบบการเจริญเติบโต สามารถแบ่งได้สองพวก คือ พวกแตกกอ sympodial เช่น หวาย แคทลียา ออนซิเดียม และ พวกเจริญแบบต้นเดี่ยว monopodial ต้นกล้วยไม้พวกนี้สังเกตได้ง่าย ๆ คือมันสูงอย่างเดียว แต่ก็มีแตกกอบ้างนะ เคยเห็นใช่มั้ย? จำพวกนี้จะมีข้อปล้องและมีใบเรียงตามลำต้น เช่น แวนด้า มอคคาร่า อะแรนด้า แมลงปอ แวนด้า เข็ม พญาไร้ใบ เป็นต้น
กล้วยไม้รากอากาศมักพบเกาะอยู่บนต้นไม้ จึงต้องมีลักษณะพิเศษที่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ทั้งวัน และเก็บกักอาหารไว้ทาน แฮะ ๆ สังเกตได้ว่าเค้าสามารถอดน้ำได้หลายวันโดยที่ไม่ตาย และเค้าสามารถที่จะรับแสงแดดได้ดี กล้วยไม้จำพวกนี้ปรับสภาพตัวเองได้ดีมาก หน้าแล้งใบไม้ร่วงเจอแดดทั้งวัน หน้าฝนใบไม้ทึบไม่มีแสง หน้าหนาวอากาศแห้ง ลมโกรกแรง เค้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ (จงอดทนอย่างกล้วยไม้นะเด็ก ๆ) ถ้าดูที่รากกล้วยไม้ที่ปลายรากจะมีหมวกราก บางคนเรียกว่า นวม ก็ว่ากันไปแล้วแต่ใครจะเรียกอะนะ มีหน้าที่ดูดซับน้ำชั้นยอดและกระจายความชื้นไปให้ทั่วราก และน้ำไม่สามารถซึมออกมาได้เลย
สำหรับส่วนต่าง ๆ ของกล้วยไม้ ก็จะมี ราก , ลำต้น , ใบ, ดอก , ผล(ฝัก) ซึ่งผมไม่ขอเจาะจงรายละเอียดนะครับ เพราะมองเห็นกันอยู่แล้ว





 ตุ๊กตาเริงระบำ




ฟ้ามุ่ยและแวนด้า





แคทลิยา







แคทลิยาสีส้ม





ช้างกระ






ไม้นิ้วเอื้องสายน้ำนม

ไม้นิ้วเอื้องสายน้ำนม เป็นกล้วยไม้ไทยที่ีให้ดอกระย้าสีขาวโพลนทั้งลำ ขนาดต้นอวบสวยสมบูรณ์มาก





 


วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดอกไม้แสนสวยของไทย !

ผกา
ชื่อวิทยาศาสตร์Lantana Camara
ชื่อวงศ์VERBENACEAE
ชื่อสามัญCloth of Gold
ชื่ออื่นๆHedge flower, ผกากรอง
ถิ่นกำเนิดทวีปแอฟริกา, ทวีปอเมริกา
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ปักชำกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป            มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ผกากรองเป็นไม้ดอกอายุหลายปี  ตามลำต้นมีขนปกคลุม  แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ต้น  ใบเป็นรูปไข่ ขอบใบจัก ปลายใบแหลม ใบออกเป็นคู่ๆ สลับกัน สีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของกิ่งก้าน  มีหลายสี ทั้งสีเดียวและสีผสม  ขนาดดอกเล็ก
การปลูกและดูแลรักษาผกากรองเป็นไม้กลางแจ้ง  ชอบแสงแดดจัด  ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยหรือดินปน


พะยอม


ชื่อวิทยาศาสตร์Shorea Roxburghii
ชื่อวงศ์DIPTEROCARPACEAE
ชื่อสามัญShorea
ชื่ออื่นๆพะยอม, กะยอม
ถิ่นกำเนิดไทย, พม่า และมาเลเซีย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    นิยมปลูกพะยอมไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ไม้ให้ร่มเงา ปลูกไว้ประดับข้างถนน ให้ดอกสวยและหอม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            พะยอมเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง 15-30 เมตร  ทรงพุ่มกลม เ ปลือกสีเทาเข้ม  แตกกิ่งจำนวนมาก  ใบเป็นใบเดี่ยวรูปรีขอบขนานกว้าง 3-6 ซม. ยาว 8-15 ซม. ขอบใบเป็นคลื่น ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน  ดอกออกเป็นช่อดอกใหญ่สีขาว ออกตามกิ่ง  กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบโคนเชื่อมติดกัน  เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมาก ออกดอกพร้อมกันเกือบทั้งต้น  ฤดูดอกบานอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
การปลูกและดูแลรักษา            พะยอมเป็นไม้ที่ชอบดินทรายหรือดินที่ระบายน้ำดี  เมื่อปลูกในดินเหนียวและแฉะพบว่าออกดอกน้อย

 
ซ่อนกลิ่น

ชื่อวิทยาศาสตร์Polianthes tuberosa
ชื่อวงศ์AGAVACEAE
ชื่อสามัญTuberose
ชื่ออื่นๆซ่อนกลิ่น
ถิ่นกำเนิดอเมริกาใต้
การขยายพันธุ์แยกหน่อ, แบ่งหัว
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ในวงศ์เดียวกับพลับพลึง  ดอกจะมีกลิ่นหอมตั้งแต่เวลาเย็นถึงตอนกลางคืน  ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ  มีอายุหลายปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
            ซ่อนกลิ่นเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน  ลักษณะของหัวจะคล้ายๆ กับหัวหอม  ใบมีสีเขียวเล็กและเรียวยาวโผล่ออกมาจากพื้นดิน  ใบยาวประมาณ 1-1.5 ฟุต ดอกจะชูช่อออกมาตรงกลางกอของลำต้นและมีดอกเกาะตรงก้านดอกเรียงกันเป็นแนวตามก้านดอก  ดอกมีสีขาวยาวประมาณ 1 นิ้ว  ช่อดอกหนึ่งๆ จะยาวประมาณ 2-2.5 ฟุต แต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อยประมาณ 40-90 ดอก  กลีบดอกแต่ละกลีบจะไม่เท่ากัน  กว่าดอกจะบานหมดทั้งช่อใช้เวลา 5-7 วัน และมีกลิ่นหอมมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน 
การปลูกและดูแลรักษาซ่อนกลิ่นเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดจัดควรปลูกไว้กลางแจ้ง  ชอบดินร่วนไม่ชอบดินเหนียวและต้องมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ  ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ที่ชอบน้ำต้องหมั่นรดน้ำให้เปียกชื้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งผากจะทำให้ซ่อนกลิ่นออกดอกไม่ดก


จำปา

ชื่อวิทยาศาสตร์Michelia Champaca
ชื่อวงศ์MAGNOLIACEAE
ชื่อสามัญChampaca
ชื่ออื่นๆOrage Chempaka, จำปา
ถิ่นกำเนิดประเทศอินเดีย, ประเทศพม่า
การขยายพันธุ์ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                   จำปาเป็นไม้ที่มีประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            จำปาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง  ลำต้นสูงประมาณ 20 ฟุตมีสีน้ำตาลปนขาวเล็กน้อย  กิ่งเปราะ ใบสีเขียวใหญ่เป็นมัน  ปลายใบแหลม  ใบกว้างประมาณ 5 นิ้ว  ยาวประมาณ 10 นิ้ว  ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองแก่  มีอยู่ 8-10 กลีบ  กลีบหนึ่งยาวประมาณ 2 นิ้ว  ซ้อนกันเป็น 2 ชั้น  ดอกเริ่มแย้มมีกลิ่นหอมในช่วงพลบค่ำ  ในเช้าวันถัดมากลีบดอกจะกางออกจากกัน และร่วงหล่นในตอนเย็น  ออกดอกเกือบตลอดปี  แต่จะมีปากในช่วงฤดูฝน  ปลูกนานกว่า 3 ปี จึงจะออกดอก
การปลูกและดูแลรักษา            จำปาเป็นไม้กลางแจ้ง  ต้องการน้ำปานกลาง  ไม่ชอบที่น้ำขังจะทำให้ตายได้  ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วน โปร่ง อุดมสมบูรณ์


อังกาบ

ชื่อวิทยาศาสตร์Barleria cristata L.
ชื่อวงศ์ACANTHACEAE
ชื่อสามัญPhilippine Violet
ชื่ออื่นๆก้านชั่ง, คันชั่ง, ทองระอา, อังกาบเมือง, อังกาบก้านพลู
ถิ่นกำเนิดประเทศอินเดีย
การขยายพันธุ์ปักชำกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป               ดอกอังกาบสีเหลือง-ขาว ตากแห้ง นำมาต้มเป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ และเป็นยาบำรุงธาตุ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            เป็นพรรณไม้พุ่มเตี้ย มีลำต้นเป็นข้อ สูงประมาณ 3 ฟุต ใบเป็นรูปหอก โคนและปลายเรียวแหลม ขนาดกว้างประมาณ  4 ซม. ยาวประมาณ 10 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก ดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย หรือรูปแตร มีหลายสี เช่น สีม่วง สีม่วงอมชมพู สีม่วงอ่อนสลับม่วงแก่ สีขาว และสีเหลือง
การปลูกและดูแลรักษา            อังกาบเป็นไม้ที่ชอบแสงปานกลาง  ควรปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย  ความชื้นปานกลางถึงสูง

จำปี


ชื่อวิทยาศาสตร์Michelia Longifolia
ชื่อวงศ์MAGNOLIACEAE
ชื่อสามัญWhite Chempaka
ชื่ออื่นๆจำปี
ถิ่นกำเนิดประเทศอินโดนีเซีย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    ลักษณะที่แตกต่างระหว่าง จำปี กับ จำปา คือ จำปี จะมีสีขาว กลิ่นหอม เย็น แต่จำปา นั้นมีสีเหลืองและกลิ่นหอมได้ไม่เท่าจำปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            จำปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นใหญ่สูงกว่าจำปาเล็กน้อย ต้นจะแตกพุ่มยอดใบงามกว่าจำปา ใบนั้นเป็นใบเดี่ยว ปลายใบจะแหลม โคนใบมน ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีสีขาวคล้ายๆ กับสีของงาช้าง จะมีกลีบอยู่ 8-10 กลีบ ซ้อนกัน กลีบดอกจะเรียวกว่าจำปา ยาวประมาณ 2 นิ้ว ตรงกลางดอกจะมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ยอดแหลมคล้ายผักข้าวโพดเล็กๆ ปลูกประมาณ 3 ปี จำปีถึงจะให้ดอก สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
การปลูกและดูแลรักษา            จำปีเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัด  ขึ้นได้ในดินทุกชนิด สามารถปลูกในดินค่อนข้างเหลวได้ แต่ที่ดีที่สุดควรปลูกในดินร่วนซุยมีธาตุอาหารเพียงพอ  ต้องการการรดน้ำบ่อยๆ



มณฑา
 

ชื่อวิทยาศาสตร์Talauma candollei
ชื่อวงศ์MAGNOLIACEAE
ชื่อสามัญMagnolita
ชื่ออื่นๆมณฑา, จอมปูน
ถิ่นกำเนิดประเทศไทย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ทาบกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป        นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ  มีดอกดก  สวยงาม  มีกลิ่นหอม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์มณฑาเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 3-8 เมตร  ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ  ใบรูปรี ขอบขนาน กว้าง 4-6 ซม. ยาว 7-15 ซม.  ปลายใบแหลม  ขอบใบเรียบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่สีเหลืองครีมรูปรี  ปลายกลีบค่อนข้างแหลม  ดอกห้อยลง  มีกลีบดอก 6 กลีบ  เมื่อดอกบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 ซม. ยาว 3-5 ซม. ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงเย็นจนเช้าตรู่  เมื่อกลีบดอกชั้นนอกบานจะคลี่ห่อกันอยู่เแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลและร่วงไปทั้งชุด  ออกดอกตลอดปี
การปลูกและดูแลรักษา            มณฑาชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดีและมีอินทรีย์วัตถุสูง   ควรปลูกไว้ในที่มีแสงแดดรำไร ไม่จัดจนเกินไป

ชงโค


ชื่อวิทยาศาสตร์Bauhinia purpurea
ชื่อวงศ์CAESALPINIACEAE
ชื่อสามัญOrchid Tree, Purder
ชื่ออื่นๆเสี้ยวดอกแดง, เสี้ยวดอกขาว
ถิ่นกำเนิดทวีปเอเซีย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด
ประวัติและข้อมูลทั่วไป        ดอกชงโคมีหลายสี เช่น ชมพู ขาว ม่วง  ชาวอินเดียถือว่าเป็นไม้สวรรค์ขึ้นอยู่ในเทวโลกและถือว่าเป็นไม้ของพระลักษมี  นิยมปลูกร่วมกับ กาหลง และ โยทะกา เพราะมีใบคล้ายกัน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            ชงโคเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 15 เมตร  ใบเป็นรูปไข่แยกเป็น 2 แฉกลึก  ช่อดอกออกตามกิ่งข้างและจำนวนดอกน้อย  กลีบดอกขาวหรือม่วง  ลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้  มีกลิ่นหอมอ่อนๆ   เกสรตัวผู้ 5 อัน ขนาดไม่เท่ากัน  มีผลเป็นฝักขนาดกว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม.
การปลูกและดูแลรักษา            ชงโคเป็นไม้ที่ชอบแดด  ควรปลูกในที่ได้รับแสงแดดทั้งวัน  ดินปลูกควรเป็นดินร่วนระบายน้ำดี  มีความชื้นสูง

สายหยุด



ชื่อวิทยาศาสตร์Desmos Chinensis Lour.
ชื่อวงศ์ANNONACEAE
ชื่อสามัญDesmos
ชื่ออื่นๆสาวหยุด
ถิ่นกำเนิดประเทศไทย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด ง่ายและสะดวกกว่า
ประวัติและข้อมูลทั่วไป        สายหยุดเป็นพันธุ์ไม้ของไทยแท้ชนิดหนึ่ง  ดอกไม้ชนิดนี้ส่งกลิ่นหอมจัดในตอนเช้าตรู่ พอสายกลิ่นจะค่อยๆ ลดลงและหมดกลิ่นเมื่อใกล้เที่ยงวัน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์สายหยุดเป็นไม้เลื้อยกึ่งไม้ยืนต้น  มีเถาแข็งแรงสามารถเลื้อยเกาะต้นไม้ได้ไกล 5-8 เมตร  มักแตกกิ่งก้านสาขามากที่ส่วนยอดและแผ่สาขาออกไปบริเวณกว้าง ใบสีเขียวเข้ม รูปรี ปลายใบแหลมขนาดใบยาว 12-14 ซม.  ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวมีลักษณะคล้ายดอกกระดังงาไทย  มีกลีบเล็กยาวดอกละ 5 กลีบ แต่ละกลีบจะบิดงออย่างกะดังงาไทย  เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว  เมื่อแก่จัดเป็นสีเหลือง  ออกดอกตลอดปี
การปลูกและดูแลรักษา            สายหยุดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งชอบแสงแดด   ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วน  อุดมสมบูรณ์  สามารถเก็บความชื้นได้ดี  น้ำท่วมไม่ถึง  ระยะเวลาจากเพาะเมล็ดจนถึงออกดอก ประมาณ 3-4 ปี ถ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
 
ลำดวน
 
 

ชื่อวิทยาศาสตร์Melodorum Fruticosum
ชื่อวงศ์ANNONACEAE
ชื่อสามัญ 
ชื่ออื่นๆหอมนวล
ถิ่นกำเนิดประเทศไทย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เป็นพรรณไม้ที่วรรณคดีไทยหลายเรื่องกล่าวถึง เช่น อิเหนา ลิลิตพระลอ รามเกียรติ์ สมุทรโฆษคำฉันท์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            ลำดวนเป็นไม้ต้นสูง 8-20 เมตร  ทรงพุ่มรูปกรวยคว่ำและแน่นทึบ  ลำต้นตรงแตกกิ่งและใบจำนวนมาก  ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับสองด้าน  ใบรูปรีแกมขอบขนานกว้าง 3-4 ซม. ยาว 5-12 ซม.  ปลายใบแหลม  ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองนวลออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง  ก้านดอกยาว 2-3 ซม.  กลีบดอกหนาและแข็งมี6 กลีบ เรียงเป็นสองชั้น ชั้นละ 3 กลีบ  กลีบดอกชั้นนอกรูปไข่ ปลายแหลม กลีบกางออก ปลายกลีบงองุ้มเข้าเล็กน้อย เ มื่อบานแล้วจะโค้งกลับไปทางโคนดอก  กลีบใน 3 กลีบ งุ้มเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. มีกลิ่นหอม  แต่ละต้นจะมีช่วงดอกบานอยู่ประมาณ 15 วัน ในช่วงเดือน ธันวาคม-มีนาคม
การปลูกและดูแลรักษาลำดวนเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดด

นมแมว



ชื่อวิทยาศาสตร์Rauwenhoffia siamensis
ชื่อวงศ์ANNONAEAE
ชื่อสามัญNom-Maew
ชื่ออื่นๆ 
ถิ่นกำเนิดประเทศไทย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป        เป็นพรรณไม้ไทย พบตามชายป่าชื้นทางภาตใต้ และภาคกลางของประเทศไทย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์            นมแมวเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดไม่สูงนัก สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก  โคนใบมน ปลายใบแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว  ดอกสีเหลือง มี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกแข็งและสั้น เมื่อบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 0.5 นิ้ว  กลิ่นหอมแรงในเวลาเย็นถึงค่ำ
การปลูกและดูแลรักษา      เป็นที่ชอบแดดจัดและต้องการความชื้นสูง ขึ้นได้ดีในสภาพดินเกือบทุกชนิด ในหน้าฝนจะให้ดอกดกมาก



ราตรี
 
 

ชื่อวิทยาศาสตร์Cestrum Nocturnum
ชื่อวงศ์SOLANACEAE
ชื่อสามัญNight Blooming Jasmine
ชื่ออื่นๆLady of the night ,ราตรี, หอมดึก
ถิ่นกำเนิดหมู่เกาะอินดีส
การขยายพันธุ์ปักชำกิ่ง, ตอนกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                 ราตรีเป็นดอกไม้ ที่มีกลิ่นหอมในเวลากลางคืนเมื่อมีดอกมันจะส่งกลิ่นไปไกล กลิ่นไม่ฉุนจนเกินไป มีกลิ่นเย็นเรื่อยๆ ทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า หอมดึก ส่วนมากนิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ราตรีเป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นมีเปลือกเป็นสีเทาอ่อนๆ แตกกิ่งก้านสาขามาก พุ่มใบหนาต้นและใบมีกลิ่นเหม็นเขียวจัด ใบอ่อนบางรูปมนรี ปลายใบแหละโคนเรียวแหลม ขนาดใบยาวประมาณ 5-6 นิ้ว ดอกออกเป็นช่อสีขาวอมเขียว ดอกมีขนาดเล็กและออกจับกลุ่มติดกันมากมายในช่อหนึ่งๆ ปลายดอกบานออกเป็นรูปดาว 5 แฉก ขนาดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาวประมาณ 2 ซม. ดอกราตรีมีกลิ่นหอมจัดในเวลากลางคืน พอเช้าดอกที่บานจะหมดกลิ่นและจะหอมใหม่ในคืนต่อไป ออกดอกคราวๆ หนึ่ง ประมาณ 5-7 วัน
การปลูกและดูแลรักษาราตรีในช่วงปักชำกิ่งหรือปลูกลงกระถางใหม่ๆ ควรปลูกในที่ร่มรำไร หลังจากนั้นเมื่อตั้งตัวได้แล้วค่อยนำไปไว้กลางแจ้ง  ชอบดินชื้นและอยู่ได้ในสภาพค่อนข้างแฉะ  ต้องการน้ำม

กรรณิการ์


ชื่อวิทยาศาสตร์Nyctanthes Arbortristis
ชื่อวงศ์VERBENACEAE
ชื่อสามัญNight flower jasmin
ชื่ออื่นๆกรรณิการ์
ถิ่นกำเนิดประเทศอินเดีย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำกิ่ง
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    กรรณิการ์เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง  โดยจะบานตอนกลางคืน  ออกดอกตลอดปี  นอกจากจะเป็นไม้ที่หอมแล้วกรรณิการ์ยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย และ ฐานรองดอกก็สามารถนำมาทำสีย้อมผ้าและสีทำขนมได้ด้วย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์     กรรณิการ์เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น  มีขนอ่อนๆ ปกคลุมอยู่ทั่วใบ  ลักษณะของใบเป็นรูปไข่รี ปลายแหลม ขอบใบเรียบ  ออกดอกเป็นช่อ  ช่อหนึ่งมีดอกราว 5-8 ดอก  แต่ละดอกจะผลัดกันบาน  ดอกมีสีขาวมี 6 กลีบ  ลักษณะคล้ายกังหัน  ขนาดดอกประมาณ 1.5-2 ซม. แต่ละดอกจะมีใบประดับ 1 ใบ  กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอดสีแสดยาว 1.5 ซม.
การปลูกและดูแลรักษากรรณิการ์เป็นไม้ที่ชอบที่ร่มรำไรและมีความชุ่มชื้นพอควร  ดินที่ใช้ปลูกควรจะเป็นดินอุดมสมบูรณ์ ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ไม่ควรมีน้ำขังอยู่  ซึ่งอาจจะทำให้รากเน่าได้  ต้องการน้ำเพียงปานกลางเท่านั้น


กุหลาบ
 

ชื่อวิทยาศาสตร์Rosa hybrida
ชื่อวงศ์ROSACEAE
ชื่อสามัญRose
ชื่ออื่นๆกุหลาบ
ถิ่นกำเนิดทวีปเอเซีย
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำกิ่งและราก, ติดตา, ต่อกิ่ง, เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ประวัติและข้อมูลทั่วไป                    กุหลาบนับว่าเป็นไม้ดอกที่มีความงามยากที่ไม้ดอกอื่นจะเทียบเท่า จนได้รับชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งดอกไม้" (Queen of flower)  กุหลาบมีมานานประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว มีทั้งหมดประมาณ 200 สปีชี่ส์  พันธุ์ดั้งเดิม (wild species) มีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ส่วนกุหลาบที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันเป็นกุหลาบที่ผ่านการวิวัฒนาการมานานนับร้อยๆ ปี และทั้งหมดเป็นกุหลาบลูกผสมซึ่งได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างกุหลาบ 1-8 สปีชี่ส์ และส่วนมากมีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์กุหลาบจัดเป็นไม้ดอกประเภทพุ่ม-พลัดใบ  มีลำต้นตั้งตรงหรือเลื้อย  แข็งแรงมีใบย่อย 3-5 ใบ ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันและมีรอยย่นเล็กน้อย  ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มี 2 เพศในดอกเดียวกัน  มีเกสรตัวผู้และตัวเมียเป็นจำนวนมาก  มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน 
การปลูกและดูแลรักษา            กุหลาบควรปลูกในฤดูฝนและฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบ  ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน เนื่องจากกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ต้นกุหลาบที่เติบโตเต็มที่ ดอกมีคุณภาพ 

รักเร่


ชื่อวิทยาศาสตร์Dahlia spp.
ชื่อวงศ์COMPOSITAE
ชื่อสามัญDahlia
ชื่ออื่นๆรักเร่
ถิ่นกำเนิด 
การขยายพันธุ์เพาะเมล็ด, ปักชำกิ่ง, ต่อกิ่ง, ใช้ราก เมื่อต้นให้ดอกแล้วต้นจะแก่และโทรมไปในที่สุด จะทิ้งรากที่เป็นหัวไว้ในดิน ให้ตัดต้นเหนือระดับดินประมาณ 3 นิ้ว เพราะส่วนของตาที่จะเจริญเป็นต้นใหม่จะอยู่บริเวณโคนต้น แล้วจึงขุดหัวขึ้นมาจากดิน
ประวัติและข้อมูลทั่วไป        รักเร่เป็นไม้ดอกอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามไม่แพ้ไม้ดอกชนิดอื่น สวยทั้งรูปทรงของดอกและมีสีสรรสวยสะดุดตามาก ก้านดอกแข็งแรงทนทาน ในต่างประเทศนิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก แต่ ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกกันมากนักอัน เนื่องมากจากชื่อที่ไม่เป็นมงคลนั้นเอง     รักเร่มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ที่ได้ชื่อว่า Dahlia นี้ก็เพื่อให้เป็นเกียรติแก่ Dr. Andreas Dahl ชาวสวีเดน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์รักเร่เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อน รากมีลักษณะคล้ายหัว ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ดอกเป็นแบบ head แบบเดียวกับเบญจมาศ ก้านดอกอวบยาวแข็งแรง กลีบดอก แบ่งออกเป็น2 ตอน กลีบดอกชั้นนอกนี้แผ่กว้างออก หรืออาจจะห่อเป็นหลอดก็ได้แล้วแต่ชนิดของดอก มีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบรองดอก ด้านในเป็นแผ่นบาง ๆ เรียงกันเป็นระเบียบติดอยู่กับฐานของดอก ส่วนกลีบรองดอกด้านนอบเล็กกว่าด้านใน เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่ ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว เหลืองอ่อน เหลืองเข้ม แดง แสด ส้ม ม่วง 
การปลูกและดูแลรักษารักเร่ชอบขึ้นในที่กลางแจ้งแดดจัดแต่มีความชื้นพอเพียง  ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีธาตุอาหารพืชพอควร และเก็บความชื้นได้ดี  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวัสดุคลุมดินให้รักเร่  ซึ่งอาจจะใช้ฟาง ใบไม้แห้ง หรือเปลือกถั่วก็ได้  รักเร่เป็นไม้วันสั้น ต้องการกลางวันสั้นสำหรับการเกิดตาดอกเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น