ผกา
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Lantana Camara |
ชื่อวงศ์ | VERBENACEAE |
ชื่อสามัญ | Cloth of Gold |
ชื่ออื่นๆ | Hedge flower, ผกากรอง |
ถิ่นกำเนิด | ทวีปแอฟริกา, ทวีปอเมริกา |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ปักชำกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกา |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | ผกากรองเป็นไม้ดอกอายุหลายปี ตามลำต้นมีขนปกคลุม แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ต้น ใบเป็นรูปไข่ ขอบใบจัก ปลายใบแหลม ใบออกเป็นคู่ๆ สลับกัน สีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของกิ่งก้าน มีหลายสี ทั้งสีเดียวและสีผสม ขนาดดอกเล็ก |
การปลูกและดูแลรักษา | ผกากรองเป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดจัด ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยหรือดินปน |
พะยอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Shorea Roxburghii |
ชื่อวงศ์ | DIPTEROCARPACEAE |
ชื่อสามัญ | Shorea |
ชื่ออื่นๆ | พะยอม, กะยอม |
ถิ่นกำเนิด | ไทย, พม่า และมาเลเซีย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | นิยมปลูกพะยอมไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ไม้ให้ร่มเงา ปลูกไว้ประดับข้างถนน ให้ดอกสวยและหอม |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | พะยอมเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง 15-30 เมตร ทรงพุ่มกลม เ ปลือกสีเทาเข้ม แตกกิ่งจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยวรูปรีขอบขนานกว้าง 3-6 ซม. ยาว 8-15 ซม. ขอบใบเป็นคลื่น ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อดอกใหญ่สีขาว ออกตามกิ่ง กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบโคนเชื่อมติดกัน เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมาก ออกดอกพร้อมกันเกือบทั้งต้น ฤดูดอกบานอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ |
การปลูกและดูแลรักษา | พะยอมเป็นไม้ที่ชอบดินทรายหรือดินที่ระบายน้ำดี เมื่อปลูกในดินเหนียวและแฉะพบว่าออกดอกน้อย |
ซ่อนกลิ่น
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Polianthes tuberosa |
ชื่อวงศ์ | AGAVACEAE |
ชื่อสามัญ | Tuberose |
ชื่ออื่นๆ | ซ่อนกลิ่น |
ถิ่นกำเนิด | อเมริกาใต้ |
การขยายพันธุ์ | แยกหน่อ, แบ่งหัว |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ในวงศ์เดียวกับพลับพลึง ดอกจะมีกลิ่นหอมตั้งแต่เวลาเย็นถึงตอนกลางคืน ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ มีอายุหลายปี |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | ซ่อนกลิ่นเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ลักษณะของหัวจะคล้ายๆ กับหัวหอม ใบมีสีเขียวเล็กและเรียวยาวโผล่ออกมาจากพื้นดิน ใบยาวประมาณ 1-1.5 ฟุต ดอกจะชูช่อออกมาตรงกลางกอของลำต้นและมีดอกเกาะตรงก้านดอกเรียงกันเป็นแนวตามก้านดอก ดอกมีสีขาวยาวประมาณ 1 นิ้ว ช่อดอกหนึ่งๆ จะยาวประมาณ 2-2.5 ฟุต แต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อยประมาณ 40-90 ดอก กลีบดอกแต่ละกลีบจะไม่เท่ากัน กว่าดอกจะบานหมดทั้งช่อใช้เวลา 5-7 วัน และมีกลิ่นหอมมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน |
การปลูกและดูแลรักษา | ซ่อนกลิ่นเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดจัดควรปลูกไว้กลางแจ้ง ชอบดินร่วนไม่ชอบดินเหนียวและต้องมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ที่ชอบน้ำต้องหมั่นรดน้ำให้เปียกชื้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งผากจะทำให้ซ่อนกลิ่นออกดอกไม่ดก |
จำปา
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Michelia Champaca |
ชื่อวงศ์ | MAGNOLIACEAE |
ชื่อสามัญ | Champaca |
ชื่ออื่นๆ | Orage Chempaka, จำปา |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศอินเดีย, ประเทศพม่า |
การขยายพันธุ์ | ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | จำปาเป็นไม้ที่มีประโยชน์ทางด้านสมุนไพร |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | จำปาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงประมาณ 20 ฟุตมีสีน้ำตาลปนขาวเล็กน้อย กิ่งเปราะ ใบสีเขียวใหญ่เป็นมัน ปลายใบแหลม ใบกว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาวประมาณ 10 นิ้ว ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองแก่ มีอยู่ 8-10 กลีบ กลีบหนึ่งยาวประมาณ 2 นิ้ว ซ้อนกันเป็น 2 ชั้น ดอกเริ่มแย้มมีกลิ่นหอมในช่วงพลบค่ำ ในเช้าวันถัดมากลีบดอกจะกางออกจากกัน และร่วงหล่นในตอนเย็น ออกดอกเกือบตลอดปี แต่จะมีปากในช่วงฤดูฝน ปลูกนานกว่า 3 ปี จึงจะออกดอก |
การปลูกและดูแลรักษา | จำปาเป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบที่น้ำขังจะทำให้ตายได้ ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วน โปร่ง อุดมสมบูรณ์ |
อังกาบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Barleria cristata L. |
ชื่อวงศ์ | ACANTHACEAE |
ชื่อสามัญ | Philippine Violet |
ชื่ออื่นๆ | ก้านชั่ง, คันชั่ง, ทองระอา, อังกาบเมือง, อังกาบก้านพลู |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศอินเดีย |
การขยายพันธุ์ | ปักชำกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | ดอกอังกาบสีเหลือง-ขาว ตากแห้ง นำมาต้มเป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ และเป็นยาบำรุงธาตุ |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | เป็นพรรณไม้พุ่มเตี้ย มีลำต้นเป็นข้อ สูงประมาณ 3 ฟุต ใบเป็นรูปหอก โคนและปลายเรียวแหลม ขนาดกว้างประมาณ 4 ซม. ยาวประมาณ 10 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก ดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย หรือรูปแตร มีหลายสี เช่น สีม่วง สีม่วงอมชมพู สีม่วงอ่อนสลับม่วงแก่ สีขาว และสีเหลือง |
การปลูกและดูแลรักษา | อังกาบเป็นไม้ที่ชอบแสงปานกลาง ควรปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ความชื้นปานกลางถึงสูง |
จำปี
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Michelia Longifolia |
ชื่อวงศ์ | MAGNOLIACEAE |
ชื่อสามัญ | White Chempaka |
ชื่ออื่นๆ | จำปี |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศอินโดนีเซีย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | ลักษณะที่แตกต่างระหว่าง จำปี กับ จำปา คือ จำปี จะมีสีขาว กลิ่นหอม เย็น แต่จำปา นั้นมีสีเหลืองและกลิ่นหอมได้ไม่เท่าจำปี |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | จำปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นใหญ่สูงกว่าจำปาเล็กน้อย ต้นจะแตกพุ่มยอดใบงามกว่าจำปา ใบนั้นเป็นใบเดี่ยว ปลายใบจะแหลม โคนใบมน ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีสีขาวคล้ายๆ กับสีของงาช้าง จะมีกลีบอยู่ 8-10 กลีบ ซ้อนกัน กลีบดอกจะเรียวกว่าจำปา ยาวประมาณ 2 นิ้ว ตรงกลางดอกจะมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ยอดแหลมคล้ายผักข้าวโพดเล็กๆ ปลูกประมาณ 3 ปี จำปีถึงจะให้ดอก สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี |
การปลูกและดูแลรักษา | จำปีเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด สามารถปลูกในดินค่อนข้างเหลวได้ แต่ที่ดีที่สุดควรปลูกในดินร่วนซุยมีธาตุอาหารเพียงพอ ต้องการการรดน้ำบ่อยๆ |
มณฑา
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Talauma candollei |
ชื่อวงศ์ | MAGNOLIACEAE |
ชื่อสามัญ | Magnolita |
ชื่ออื่นๆ | มณฑา, จอมปูน |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศไทย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ทาบกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ มีดอกดก สวยงาม มีกลิ่นหอม |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | มณฑาเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 3-8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบรูปรี ขอบขนาน กว้าง 4-6 ซม. ยาว 7-15 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่สีเหลืองครีมรูปรี ปลายกลีบค่อนข้างแหลม ดอกห้อยลง มีกลีบดอก 6 กลีบ เมื่อดอกบานจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 ซม. ยาว 3-5 ซม. ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงเย็นจนเช้าตรู่ เมื่อกลีบดอกชั้นนอกบานจะคลี่ห่อกันอยู่เแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลและร่วงไปทั้งชุด ออกดอกตลอดปี |
การปลูกและดูแลรักษา | มณฑาชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดีและมีอินทรีย์วัตถุสูง ควรปลูกไว้ในที่มีแสงแดดรำไร ไม่จัดจนเกินไป |
ชงโค
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Bauhinia purpurea |
ชื่อวงศ์ | CAESALPINIACEAE |
ชื่อสามัญ | Orchid Tree, Purder |
ชื่ออื่นๆ | เสี้ยวดอกแดง, เสี้ยวดอกขาว |
ถิ่นกำเนิด | ทวีปเอเซีย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | ดอกชงโคมีหลายสี เช่น ชมพู ขาว ม่วง ชาวอินเดียถือว่าเป็นไม้สวรรค์ขึ้นอยู่ในเทวโลกและถือว่าเป็นไม้ของพระลักษมี นิยมปลูกร่วมกับ กาหลง และ โยทะกา เพราะมีใบคล้ายกัน |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | ชงโคเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 15 เมตร ใบเป็นรูปไข่แยกเป็น 2 แฉกลึก ช่อดอกออกตามกิ่งข้างและจำนวนดอกน้อย กลีบดอกขาวหรือม่วง ลักษณะคล้ายดอกกล้วยไม้ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เกสรตัวผู้ 5 อัน ขนาดไม่เท่ากัน มีผลเป็นฝักขนาดกว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. |
การปลูกและดูแลรักษา | ชงโคเป็นไม้ที่ชอบแดด ควรปลูกในที่ได้รับแสงแดดทั้งวัน ดินปลูกควรเป็นดินร่วนระบายน้ำดี มีความชื้นสูง |
สายหยุด
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Desmos Chinensis Lour. |
ชื่อวงศ์ | ANNONACEAE |
ชื่อสามัญ | Desmos |
ชื่ออื่นๆ | สาวหยุด |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศไทย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด ง่ายและสะดวกกว่า |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | สายหยุดเป็นพันธุ์ไม้ของไทยแท้ชนิดหนึ่ง ดอกไม้ชนิดนี้ส่งกลิ่นหอมจัดในตอนเช้าตรู่ พอสายกลิ่นจะค่อยๆ ลดลงและหมดกลิ่นเมื่อใกล้เที่ยงวัน |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | สายหยุดเป็นไม้เลื้อยกึ่งไม้ยืนต้น มีเถาแข็งแรงสามารถเลื้อยเกาะต้นไม้ได้ไกล 5-8 เมตร มักแตกกิ่งก้านสาขามากที่ส่วนยอดและแผ่สาขาออกไปบริเวณกว้าง ใบสีเขียวเข้ม รูปรี ปลายใบแหลมขนาดใบยาว 12-14 ซม. ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวมีลักษณะคล้ายดอกกระดังงาไทย มีกลีบเล็กยาวดอกละ 5 กลีบ แต่ละกลีบจะบิดงออย่างกะดังงาไทย เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีเหลือง ออกดอกตลอดปี |
การปลูกและดูแลรักษา | สายหยุดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งชอบแสงแดด ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วน อุดมสมบูรณ์ สามารถเก็บความชื้นได้ดี น้ำท่วมไม่ถึง ระยะเวลาจากเพาะเมล็ดจนถึงออกดอก ประมาณ 3-4 ปี ถ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี |
ลำดวน
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Melodorum Fruticosum |
ชื่อวงศ์ | ANNONACEAE |
ชื่อสามัญ | |
ชื่ออื่นๆ | หอมนวล |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศไทย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เป็นพรรณไม้ที่วรรณคดีไทยหลายเรื่องกล่าวถึง เช่น อิเหนา ลิลิตพระลอ รามเกียรติ์ สมุทรโฆษคำฉันท์ |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | ลำดวนเป็นไม้ต้นสูง 8-20 เมตร ทรงพุ่มรูปกรวยคว่ำและแน่นทึบ ลำต้นตรงแตกกิ่งและใบจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับสองด้าน ใบรูปรีแกมขอบขนานกว้าง 3-4 ซม. ยาว 5-12 ซม. ปลายใบแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองนวลออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ก้านดอกยาว 2-3 ซม. กลีบดอกหนาและแข็งมี6 กลีบ เรียงเป็นสองชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกชั้นนอกรูปไข่ ปลายแหลม กลีบกางออก ปลายกลีบงองุ้มเข้าเล็กน้อย เ มื่อบานแล้วจะโค้งกลับไปทางโคนดอก กลีบใน 3 กลีบ งุ้มเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. มีกลิ่นหอม แต่ละต้นจะมีช่วงดอกบานอยู่ประมาณ 15 วัน ในช่วงเดือน ธันวาคม-มีนาคม |
การปลูกและดูแลรักษา | ลำดวนเป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงแดด |
นมแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Rauwenhoffia siamensis |
ชื่อวงศ์ | ANNONAEAE |
ชื่อสามัญ | Nom-Maew |
ชื่ออื่นๆ | |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศไทย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | เป็นพรรณไม้ไทย พบตามชายป่าชื้นทางภาตใต้ และภาคกลางของประเทศไทย |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | นมแมวเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดไม่สูงนัก สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ปลายใบแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว ดอกสีเหลือง มี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกแข็งและสั้น เมื่อบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 0.5 นิ้ว กลิ่นหอมแรงในเวลาเย็นถึงค่ำ |
การปลูกและดูแลรักษา | เป็นที่ชอบแดดจัดและต้องการความชื้นสูง ขึ้นได้ดีในสภาพดินเกือบทุกชนิด ในหน้าฝนจะให้ดอกดกมาก |
ราตรี
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Cestrum Nocturnum |
ชื่อวงศ์ | SOLANACEAE |
ชื่อสามัญ | Night Blooming Jasmine |
ชื่ออื่นๆ | Lady of the night ,ราตรี, หอมดึก |
ถิ่นกำเนิด | หมู่เกาะอินดีส |
การขยายพันธุ์ | ปักชำกิ่ง, ตอนกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | ราตรีเป็นดอกไม้ ที่มีกลิ่นหอมในเวลากลางคืนเมื่อมีดอกมันจะส่งกลิ่นไปไกล กลิ่นไม่ฉุนจนเกินไป มีกลิ่นเย็นเรื่อยๆ ทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า หอมดึก ส่วนมากนิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | ราตรีเป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นมีเปลือกเป็นสีเทาอ่อนๆ แตกกิ่งก้านสาขามาก พุ่มใบหนาต้นและใบมีกลิ่นเหม็นเขียวจัด ใบอ่อนบางรูปมนรี ปลายใบแหละโคนเรียวแหลม ขนาดใบยาวประมาณ 5-6 นิ้ว ดอกออกเป็นช่อสีขาวอมเขียว ดอกมีขนาดเล็กและออกจับกลุ่มติดกันมากมายในช่อหนึ่งๆ ปลายดอกบานออกเป็นรูปดาว 5 แฉก ขนาดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาวประมาณ 2 ซม. ดอกราตรีมีกลิ่นหอมจัดในเวลากลางคืน พอเช้าดอกที่บานจะหมดกลิ่นและจะหอมใหม่ในคืนต่อไป ออกดอกคราวๆ หนึ่ง ประมาณ 5-7 วัน |
การปลูกและดูแลรักษา | ราตรีในช่วงปักชำกิ่งหรือปลูกลงกระถางใหม่ๆ ควรปลูกในที่ร่มรำไร หลังจากนั้นเมื่อตั้งตัวได้แล้วค่อยนำไปไว้กลางแจ้ง ชอบดินชื้นและอยู่ได้ในสภาพค่อนข้างแฉะ ต้องการน้ำม |
กรรณิการ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Nyctanthes Arbortristis |
ชื่อวงศ์ | VERBENACEAE |
ชื่อสามัญ | Night flower jasmin |
ชื่ออื่นๆ | กรรณิการ์ |
ถิ่นกำเนิด | ประเทศอินเดีย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำกิ่ง |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | กรรณิการ์เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง โดยจะบานตอนกลางคืน ออกดอกตลอดปี นอกจากจะเป็นไม้ที่หอมแล้วกรรณิการ์ยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย และ ฐานรองดอกก็สามารถนำมาทำสีย้อมผ้าและสีทำขนมได้ด้วย |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | กรรณิการ์เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น มีขนอ่อนๆ ปกคลุมอยู่ทั่วใบ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่รี ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีดอกราว 5-8 ดอก แต่ละดอกจะผลัดกันบาน ดอกมีสีขาวมี 6 กลีบ ลักษณะคล้ายกังหัน ขนาดดอกประมาณ 1.5-2 ซม. แต่ละดอกจะมีใบประดับ 1 ใบ กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอดสีแสดยาว 1.5 ซม. |
การปลูกและดูแลรักษา | กรรณิการ์เป็นไม้ที่ชอบที่ร่มรำไรและมีความชุ่มชื้นพอควร ดินที่ใช้ปลูกควรจะเป็นดินอุดมสมบูรณ์ ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ไม่ควรมีน้ำขังอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้รากเน่าได้ ต้องการน้ำเพียงปานกลางเท่านั้น |
กุหลาบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Rosa hybrida |
ชื่อวงศ์ | ROSACEAE |
ชื่อสามัญ | Rose |
ชื่ออื่นๆ | กุหลาบ |
ถิ่นกำเนิด | ทวีปเอเซีย |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง, ปักชำกิ่งและราก, ติดตา, ต่อกิ่ง, เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | กุหลาบนับว่าเป็นไม้ดอกที่มีความงามยากที่ไม้ดอกอื่นจะเทียบเท่า จนได้รับชื่อว่าเป็น "ราชินีแห่งดอกไม้" (Queen of flower) กุหลาบมีมานานประมาณ 30 ล้านปีมาแล้ว มีทั้งหมดประมาณ 200 สปีชี่ส์ พันธุ์ดั้งเดิม (wild species) มีทั้งชนิดกลีบดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ส่วนกุหลาบที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันเป็นกุหลาบที่ผ่านการวิวัฒนาการมานานนับร้อยๆ ปี และทั้งหมดเป็นกุหลาบลูกผสมซึ่งได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างกุหลาบ 1-8 สปีชี่ส์ และส่วนมากมีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | กุหลาบจัดเป็นไม้ดอกประเภทพุ่ม-พลัดใบ มีลำต้นตั้งตรงหรือเลื้อย แข็งแรงมีใบย่อย 3-5 ใบ ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมันและมีรอยย่นเล็กน้อย ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มี 2 เพศในดอกเดียวกัน มีเกสรตัวผู้และตัวเมียเป็นจำนวนมาก มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน |
การปลูกและดูแลรักษา | กุหลาบควรปลูกในฤดูฝนและฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน เนื่องจากกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ต้นกุหลาบที่เติบโตเต็มที่ ดอกมีคุณภาพ |
รักเร่
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Dahlia spp. |
ชื่อวงศ์ | COMPOSITAE |
ชื่อสามัญ | Dahlia |
ชื่ออื่นๆ | รักเร่ |
ถิ่นกำเนิด | |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ด, ปักชำกิ่ง, ต่อกิ่ง, ใช้ราก เมื่อต้นให้ดอกแล้วต้นจะแก่และโทรมไปในที่สุด จะทิ้งรากที่เป็นหัวไว้ในดิน ให้ตัดต้นเหนือระดับดินประมาณ 3 นิ้ว เพราะส่วนของตาที่จะเจริญเป็นต้นใหม่จะอยู่บริเวณโคนต้น แล้วจึงขุดหัวขึ้นมาจากดิน |
ประวัติและข้อมูลทั่วไป | รักเร่เป็นไม้ดอกอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามไม่แพ้ไม้ดอกชนิดอื่น สวยทั้งรูปทรงของดอกและมีสีสรรสวยสะดุดตามาก ก้านดอกแข็งแรงทนทาน ในต่างประเทศนิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก แต่ ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกกันมากนักอัน เนื่องมากจากชื่อที่ไม่เป็นมงคลนั้นเอง รักเร่มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ที่ได้ชื่อว่า Dahlia นี้ก็เพื่อให้เป็นเกียรติแก่ Dr. Andreas Dahl ชาวสวีเดน |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ | รักเร่เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อน รากมีลักษณะคล้ายหัว ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ดอกเป็นแบบ head แบบเดียวกับเบญจมาศ ก้านดอกอวบยาวแข็งแรง กลีบดอก แบ่งออกเป็น2 ตอน กลีบดอกชั้นนอกนี้แผ่กว้างออก หรืออาจจะห่อเป็นหลอดก็ได้แล้วแต่ชนิดของดอก มีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบรองดอก ด้านในเป็นแผ่นบาง ๆ เรียงกันเป็นระเบียบติดอยู่กับฐานของดอก ส่วนกลีบรองดอกด้านนอบเล็กกว่าด้านใน เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไข่ ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว เหลืองอ่อน เหลืองเข้ม แดง แสด ส้ม ม่วง |
การปลูกและดูแลรักษา | รักเร่ชอบขึ้นในที่กลางแจ้งแดดจัดแต่มีความชื้นพอเพียง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีธาตุอาหารพืชพอควร และเก็บความชื้นได้ดี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวัสดุคลุมดินให้รักเร่ ซึ่งอาจจะใช้ฟาง ใบไม้แห้ง หรือเปลือกถั่วก็ได้ รักเร่เป็นไม้วันสั้น ต้องการกลางวันสั้นสำหรับการเกิดตาดอกเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น